Kanin's space | ТЧιηк Διffεrεητ

Just another WordPress.com site

บ้านหลังใหม่

บล็อกนี้เขียนมายาวนาน (ตั้งแต่ตอนอยู่ปี 4)  จึงรู้สึกผูกพันกับมันมาก… อย่างไรก็ตามตอนนี้รู้สึกว่าควรจะย้ายซะที เพราะที่นี่มันมีข้อจำกัดหลายอย่าง ชาวบ้านก็ไม่มีใครมาเขียนสเปซแล้วมั้ง 😦

ดังนั้นตามไปดูบล็อกใหม่ได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลยครับ 🙂
http://kaninnit.wordpress.com

ย้าย

ในการปลูกต้นไม้ ตอนแรกก็ต้องเพาะหน่ออ่อนๆ ในสถานที่ที่เหมาะสม มีการคุ้มครองดูแลเป็นอย่างดี


พอต้นไม้เหล่านั้นโตขึ้น เมื่อรากเริ่มมีมากและได้แผ่ขยายอาณาเขตในสถานที่ที่มันถูกเพาะเลี้ยง เราก็ต้องย้ายต้นไม้เหล่านั้นไปในพื้นที่ที่กว้างกว่า ย้ายไปยังถิ่นใหม่ เพื่อที่ต้นไม้เหล่านั้นจะเติบโตอย่างแข็งแรงต่อไป

ตอนนี้เราได้เวลาย้ายแล้ว


ขอบคุณพี่น้อง เพื่อนๆ ครูบาอาจารย์ทุกท่านที่คอยดูแลต้นไม้ต้นนี้ให้เติบใหญ่ได้ถึงวันนี้

สถานที่ใหม่จะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่เราต้องเผชิญกับมันเอง

อีก 6 เดือนเจอกันครับ…..


เอาจริง

(ความเดิมตอนที่แล้ว)

มาจนถึงวันนี้ ผ่านไปประมาณ 2 เดือน นับตั้งแต่ที่ตัดสินใจเริ่มลดน้ำหนักวันแรก ตอนนี้ลดได้ประมาณ 10 กิโลแล้ว ไม่ได้อดอาหารแต่อย่างใด เพียงแต่ออกกำลังกายบ่อยๆ และกินเมื่อหิวมากกว่ากินเมื่ออยาก

จำได้ว่าสมัยเด็กๆ ตอนจบป. 6 คุณครูศิริพรรณซึ่งเป็นครูใหญ่ประจำโรงเรียนเรา (โรงเรียนสหศึกษาช่องฟ้าซินเซิงเชียงใหม่) ได้กล่าวในงานปัจฉิมนิเทศไว้ว่า "ที่จริงแล้วพวกเธอจะทำอะไรให้สำเร็จก็ได้ ขอแค่พวกเธอเอาจริงกับมัน"

บทเรียนเรื่องการลดน้ำหนักครั้งนี้ ทำให้เราหวนนึกถึงคำพูดในวันนั้นอีกครั้ง ปกตินิสัยเรามันก็ค่อนข้างเป็นคนเรื่อยๆ ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังกับอะไรซักเท่าไหร่ ถ้าไม่ได้สนใจมันจริงๆ เรื่องการลดน้ำหนักเราก็ไม่ได้สนใจอะไรกับมันมาก เพราะเราไม่ค่อยเป็นกังวลเรื่องหุ่นเราเท่าไหร่ ทำให้เราไม่ได้เอาจริงกับมันซักที จนเมื่อแม่บอกว่าขอให้ลดหน่อยเถอะ เพื่อสุขภาพ ก็เลยตัดสินใจทำมัน

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ครั้งนี้ มันไม่ได้อยู่ที่สุดหมายปลายทางว่าต้องลดให้ได้กี่กิโล แต่มันอยู่ที่เรา"สนุก"ไปกับการออกกำลังกาย รู้สึก"ท้าทาย"กับการอดทนต่อกิเลสเมื่ออยู่ต่อหน้าของที่อยากกิน การมีความสุข(ฉันทะ)ไปกับกระบวนการต่างหากที่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราทำมันต่อไปได้

บทเรียนอีกเรื่อง คงเป็นการเอาชนะ"แรงเฉื่อย"ในช่วงแรก ที่ต้องออกแรงกับมันมากหน่อย แต่พอมันแล่นไปได้"แรงเฉื่อย"นี้ก็จะผลักดันให้มันแล่นต่อเนื่องไป

จากนี้คงต้องเอาประสบการณ์ที่ดีครั้งนี้ไปใช้กับการทำสิ่งอื่นๆ ในชีวิตเราด้วย

ป.ล. แม้จะเขียนเรื่องนี้ในวันที่ 1 เม.ย. แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมดนะ 😀

หนึ่งเดือนแห่งการลดน้ำหนัก

เมื่อวันจันทร์ที่ 25 เดือนม.ค. ที่แล้ว เราได้ตัดสินใจที่จะเริ่มทำอะไรอย่างหนึ่ง หลังจากที่ผัดผ่อนมันมานาน นั่นคือ"การลดน้ำหนัก" เนื่องจากตระหนักได้ว่า น้ำหนักที่มากขึ้น จากการที่เราไม่แคร์เรื่องการกิน กินตามใจฉัน บวกกับการออกกำลังกายน้อยลงตามวัยที่มากขึ้น จะทำให้เกิดปัญหากับเรา

ปัญหาน้ำหนักเกิน คงเป็นปัญหาสำคัญสำหรับคนในเมืองในยุคบริโภคนิยมเช่นนี้ แม้ตอนนั้นเราจะยังไม่มีปัญหาสุขภาพจากโรคอ้วน (มีปัญหาการหาเลือกซื้อเสื้อผ้ามากกว่า 555) แต่เราก็คิดว่า ถ้าแก่ตัวไปมากกว่านี้คงจะลดยากแน่ๆ ประกอบกับช่วงนั้นมีเดิมพันกับกลุ่มเพื่อนที่กังวลกับปัญหาน้ำหนักเกินของตนเองเหมือนกัน เลยตัดสินใจเริ่มตั้งแต่วันนั้น

วิธีการลดน้ำหนักของเรามี 2 อย่างคือ  ปรับพฤติกรรมการกิน กับ ออกกำลังกาย

1. ปรับพฤติกรรมการกิน มีเกณฑ์สั้นๆ ดังนี้

  • พยายามไม่กินมื้อเย็น
  • เวลากินอาหารกินช้าๆ
  • กินให้หายหิว ไม่ใช่กินเพราะอยากกิน

เรื่องปรับพฤติกรรมการกิน เรามีคติว่า "ไม่อดอาหาร" เพราะถ้าอดอาหารเพื่อให้ลดน้ำหนักถึงเป้า เมื่อถึงเป้าก็จะกลับมากินใหม่อยู่ดี แต่ที่เราทำคือเปลี่ยนพฤติกรรมการกินไปตลอด ถ้าเย็นวันไหนเราหิวมากๆ เราก็ออกไปหาอะไรกินตามปกติ เพียงแต่กินให้หายหิวเท่านั้น

การไม่กินมื้อเย็น ทุกตำราบอกไว้ตรงกัน เพราะตอนดึกเรานอนหลับ ไม่ต้องการพลังงานระดับอาหาร 1 มื้อ, การกินช้าๆ ก็มีประโยชน์ตรงที่อิ่มเร็ว และรับรู้รสอาหารที่เรากินได้มากขึ้น สัมผัสความอร่อยได้มากขึ้น ส่วนการไม่กินเพราะความอยาก  นอกจากจะทำให้เราไม่กินมาก ยังทำให้เราลดละความอยากในเรื่องอื่นๆ ได้ด้วย

2. การออกกำลังการ มีเกณฑ์สั้นๆ ดังนี้

  • วิ่งทุกวัน วันละครึ่งชั่วโมง (ห้ามหยุดวิ่งตลอดครึ่งชั่วโมง) 
  • บางวันอาจเล่นแบดมินตันแทน หนึ่งชั่วโมง

การออกกำลังกายค่อนข้างเคร่งครัดกว่าการกิน รู้สึกว่าเราไม่ได้ออกกำลังแค่ 5 วันนับตั้งแต่วันนั้น ส่วนใหญ่การออกกำลังกายที่ทำบ่อยๆ คือ การวิ่ง เพราะไม่ต้องมีเพื่อน ก็วิ่งคนเดียวได้ เราพยายามพัฒนาการวิ่งให้มากขึ้นเร็วขึ้นด้วย จำได้ว่าครั้งแรกวิ่งแค่ 2 รอบสนามศุภในครึ่งชั่วโมง (รอบใหญ่ 1 รอบประมาณ 1 km) ก็เหนื่อยแล้ว แต่ตอนนี้เราวิ่งได้ทนขึ้นเป็น 4 รอบในครึ่งชั่วโมง

ช่วงเวลาการวิ่งระยะไกลแบบนี้ เราถือเป็นโอกาสให้เราครุ่นคิดอะไรได้มากขึ้น ไม่มีอะไรมาดึงความสนใจเรานอกจากเส้นทางด้านหน้าที่เราต้องวิ่งให้ครบ ที่สำคัญเมื่อเราวิ่งจนร่างกายเหนื่อยสุดๆ จนแทบจะทนไม่ไหว มันก็เป็นประสบการณ์ความรู้สึกที่ยากจะพบเจอในชีวิตปกติ และยากจะบรรยายความเหนื่อยให้เห็นนอกจากจะเจอด้วยตนเอง
ทำให้เรารู้ว่าร่างกายเรามันทนรับความเจ็บปวด ความเหน็ดเหนื่อยได้มากเพียงไร
ทำให้เรารับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของหัวใจเราที่เต้นตลอดเวลาโดยไม่หยุดพัก
ทำให้เราเห็นคุณค่าของสายลมเย็นที่พัดมาเพียงชั่ววูบและคุณค่าของร่มเงาใต้ต้นไม้ใหญ่
ทำให้เรารู้ว่าจังหวะการวิ่งที่ดีทำให้เราวิ่งได้นาน
ทำให้เรารู้ว่าอย่าไปฝืนวิ่งแข่งกับคนแก่ที่ใส่เสื้อนักวิ่ง
ทำให้เรารู้ว่าการทักทายคนวิ่งด้วยกันมันเป็นเรื่องง่ายๆ
ทำให้…ฯลฯ
สรุปว่าการวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่เรียบง่ายที่สุด แต่ก็สอนอะไรเรามากมายเช่นกัน

อย่างที่บอกว่า เราไม่ได้ต้องการแค่ลดน้ำหนักให้ถึงเป้าแล้วพอ แต่เราต้องการจะปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา ดังนั้น สุดท้ายคงต้องมาดูกันว่า น้ำหนักเราจะลดลงจนไปอยู่คงที่ๆ เท่าไหร่ สำหรับพฤติกรรมแบบนี้

บทเรียนสำคัญจากการลดน้ำหนักครั้งนี้ ทำให้เรารู้ว่า ทุกอย่างเราสามารถทำได้ ขอแค่เรา"เริ่ม"ที่จะทำมัน

ป.ล. มาจนถึงวันนี้ ผ่านไป 4 สัปดาห์ เราลดไป 3.8 โล 🙂

ทริปกะหล่ำไร้หมอก

golden-trip

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อนๆ RCU85 ได้นัดไปทริปกัน เพื่อย้อนรอยค่ายศิลปะที่พวกเราเคยทำตอนอยู่ปี 3 ป.ตรี ในชื่อ "ค่ายแต้มต่อ" โดยมีสมาชิกผู้ร่วมทีมครั้งนี้คือ เกด(ประธานค่าย และเจ้าภาพทริปนี้) อาร์ม ปั้ม จา หญิง เพชร พิมพ์และพี่อ้น

สถานที่ที่เราไปย้อนรอยครั้งนี้ ก็คือ โรงเรียนร่องกล้าวิทยา สาขาห้วยน้ำไทร ที่เหลือก็ไปเที่ยวตามใจตนเอง ได้แก่ ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูทับเบิก เดินเล่นที่ลานหินแตกในภูหินร้องกล้า ดูการเกษตรที่ไร่บี.เอ็น. ชมพระอาทิตย์ตกที่รีสอร์ทในภูพ่อบท ถ่ายรูปกับดอกไม้ที่สวนหิมพานต์ รำลึกประวัติศาสตร์ที่เขาค้อ พร้อมกับชิมอาหารอร่อยตลอดทาง

เป็นทริปที่สบายๆ สนุก เที่ยวกับเพื่อนหอที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี 🙂

ชมรูปบรรยากาศทริปที่มัลติพลายเกดเลย

วิวัฒนาการด้านจิตใจ

หลังจากอ่านหนังสือ "คนไทยสู่ยุคไอที" ของ พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ. ปยุตฺโต (ใครอยากอ่าน ไปอ่านได้ที่เว็บ http://www.ebookdharma.com/allbooks.htm ) เกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาว่า ในยุคนี้ที่ใครๆ ก็มักพูดว่า เทคโนโลยีเจริญขึ้นแต่จิตใจคนเรากลับต่ำลง แสดงว่า จุดสูงสุดของวิวัฒนาการด้านจิตใจมนุษย์มันเลยผ่านมาแล้วใช่มั้ย แล้วถ้าเลยผ่านมาจริงๆ จุดสูงสุดนั้นมันอยู่ในช่วงยุคสมัยใดกัน? แล้วก่อนหน้านั้นมันเคยเลวร้ายกว่านี้มั้ย?

หรือว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วงที่ศาสดาของศาสนาต่างๆ ได้เกิดมา ซึ่งหมายความว่า มันเลยมากว่าพันปีแล้ว ในยุคที่มีพระอรหันต์ นักบุญมากมาย?

หรือว่าปัจจุบันที่คนเราคิดว่ามันเลวร้ายลง เป็นเพราะเราสร้างกรอบศีลธรรม กฎเกณฑ์ ต่างๆ มายึดติดกันมากขึ้น ในยุคที่การสื่อสารติดต่อถึงกันฉับไว การที่จะบอกว่าใครสักคนเป็นนักบุญ คงมีการตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก ผิดกับสมัยอดีตที่รู้กันในหมู่คนไม่มาก จึงตรวจสอบยาก เป็นตำนานง่าย

น่าคิดจริงๆ ว่าต่อไปนี้ จิตใจมนุษย์จะพัฒนาต่อไปอย่างไร ท่ามกลางเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว คนเราจะสุขน้อยกว่าคนสมัยก่อนลงไปเรื่อยๆ จริงหรือไม่?

ว่างๆ คงต้องหาหนังสือ "โลกของโซฟี" มาอ่านต่อจนจบ

aoi hana

aoi-hana

เพิ่งดูอนิเมะเรื่อง aoi hana (sweet blue flowers) จบ ถือเป็นอนิเมะที่ดีมากๆ เรื่องนึงเลยทีเดียว คำจำกัดความที่เรานึกได้ทันทีของเรื่องนี้คือ "อ่อนหวาน" เรียกได้ว่าเป็นอนิเมะที่ทำบรรยากาศได้อ่อนหวานที่สุดเท่าที่เราเคยดูมาเลยทีเดียว เหนือกว่า aria ฉบับอนิเมะซะอีก

พล็อตเรื่องคร่าวๆ คือ อาจัง กับ ฟูมิจัง ซึ่งเคยเป็นเพื่อนรักสมัยเด็ก กลับมาเจอกันอีกครั้งในตอนที่ทั้งคู่เรียนม.ปลาย (แต่อยู่คนละโรงเรียนนะ) โดยมีตัวละครอีกหลายคนที่ล้อมรอบทั้งคู่ ซึ่งตัวละครเหล่านั้นก็ล้วนมีปัญหาความรักไปในแต่ละคน

สิ่งที่เราชอบมากๆ คือ ตัวละครแทบทุกตัวมีมิติ ผู้สร้างแทบจะใส่ใจในความรู้สึกของตัวละครหลักทุกตัว ไม่ได้โฟกัสไปที่ตัวเอกทั้งสองคนเท่านั้น อีกทั้งความคิด การกระทำของตัวละครก็ไม่ได้เว่อร์เหมือนการ์ตูนรักอื่นๆ ที่เราเคยดู ทำให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมและคอยเอาใจช่วยไปกับตัวละครทุกตัว

ภาพและดนตรีก็ทำได้ดีมาก งานภาพดูปราณีตมากทีเดียว แม้จะไม่สวยสุดยอดถึงขั้นแบบ 5 cm ของชินไค มาโกโตะ แต่ก็ดูสวยงามเข้ากับบรรยากาศอันงดงามของเรื่อง อีกทั้งเพลงประกอบก็ซาบซึ้งมาก

โดยรวมถือว่าเป็นอนิเมะของปี 2009 ในดวงใจเราอีกเรื่องเลย แม้จะเป็นเรื่องราวของหญิงรักหญิงแต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเราในการดูเรื่องนี้ซักนิด ข้อเสียเพียงนิดหน่อยที่เราอยากให้มันมี คือ เนื่องจากมันหวานมาก (แต่ไม่เลี่ยน) ทำให้อาจขาดสีสันอารมณ์อย่างอื่นไป ถ้าทำได้ คงจะเป็นอนิเมะขึ้นหึ้งเหมือนกับ Honney & Clover เลย อย่างไรก็ตามขอแนะนำเลยสำหรับคนที่ชอบดูอนิเมะแนวโรแมนติกว่าไม่ควรพลาดเรื่องนี้

เรื่องสั้นกำลังภายในของฟ้า

lompran700years


ปกติงานเขียนอีกประเภทที่เราชอบอ่านคือ นิยายกำลังภายใน ซึ่งเราก็ติดตามงานเขียนของยอดนักเขียนแนวนี้อยู่เรื่อยๆ ทั้ง โกวเล้ง กิมย้ง หรือหวงอี้ แนวทางของนิยายของประเภทนี้ดูไปก็คล้ายๆ กับเรื่องชวนฝันของชายหนุ่มทีเดียว เพราะเนื้อเรื่องมักไปในทำนองตัวเอก (ซึ่งล้วนแต่เป็นเพศชาย) ซึ่งมักยังไม่มีฝีมือในตอนแรก แต่โชคชะตาก็จะพลิกผันให้ไปเจอสุดยอดอาจารย์บ้าง บังเอิญไปเจอสุดยอดคัมภีร์ในตำนานบ้าง บังเอิญถูกกระตุ้นจุดสำคัญในร่างกายให้พลังเพิ่มขึ้นบ้าง จนสุดท้ายก็ต้องไปสู้กับจอมมาร หรือคู่ปรับที่วรยุทธสูงทัดเทียมกัน

ในขณะเดียวกันผู้คนที่รายล้อมตัวเอก ก็มักเป็นหญิงงามผู้มีวรยุทธสูงส่ง ไม่ก็สุดยอดฝีมือผู้งำประกายจนดูคล้ายคนธรรมดาทั่วไป ถ้าเป็นตัวร้ายก็มักมีหน้าตาอัปลักษณ์จิตใจหยาบช้า ที่เหลือก็เป็นตัวประกอบทั่วไปทั้งพ่อค้า นางคณิกา หรือยาจก

ด้วยความที่นิยายเหล่านี้มักวนเวียนแต่แบบนี้ ตัวละครก็ไม่มีมิติซับซ้อนมากนัก ทำให้บางทีอ่านไปเรื่อยๆ ก็พาลทำให้เบื่อได้ ช่วงหลังๆ เราจึงร้างราจากยุทธจักรกำลังภายในไป (เรื่องล่าสุดที่อ่านคือ จอมคนแผ่นดินเดือด เล่ม 3 มั้ง แล้วก็หมดแรงฮึดอ่านต่อ)

จนกระทั่งเราเจอหนังสือชื่อ "ลมปราณเจ็ดร้อยปี 30 เรื่องสั้นกำลังภายในของฟ้า" ซึ่งเป็นผลงานของ ฟ้า พูลวรลักษณ์ นักเขียนที่เราเคยได้ยินชื่อเสียงของเขาบ้างในงานเกี่ยวกับแคนโต้ และหนังสือเรื่อง "ห้องเรียนที่เงียบที่สุดในโลก" แต่เรายังไม่เคยอ่านงานของฟ้าอย่างจริงจัง

พอเราลองอ่านเรื่องสั้นกำลังภายในของฟ้าดู ก็ค้นพบว่าความสนุกของการอ่านนิยายกำลังภายในได้กลับมาอีกครั้ง ในความรู้สึกที่สดใหม่กว่าเดิม!

กล่าวคือ แนวทางในเล่มยังคงเป็นนิยายกำลังภายในที่คุ้นเคย มียุทธจักรที่มีสำนักน้อยใหญ่มากมาย มีฝ่ายธรรมมะ ฝ่ายอธรรม มีตัวเอกที่บังเอิญได้วรยุทธขั้นสูงโดยไม่คาดฝัน ทั้งหมดนี้ดูไม่มีอะไรแปลกใหม่

แต่ความแปลกใหม่ที่เรารู้สึกคือ ด้วยความที่มันเป็นเรื่องสั้น ไม่ใช่นิยายแบบเดิมที่เราเคยอ่าน ทำให้ต้องเล่าเรื่องให้จบในไม่กี่หน้ากระดาษ ดังนั้นการเดินเรื่องจึงต้องเข้าสู่ประเด็นทันที ไม่มีการพรรณนาอะไรมากมายเหมือนนิยาย อีกทั้งบางตอนในเรื่องสั้นก็จบลงอย่างค้างคา ให้เราไปคิดต่อเอาเองว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนนึงในเรื่องสั้น ถ้าเป็นกลายเป็นนิยายกำลังภายใน ก็จะบรรยายว่าปมขัดแย้งคืออะไร ทำไมต้องต่อสู้กัน จากนั้นก็เริ่มต่อสู้กันพร้อมการบรรยายฉากต่อสู้ให้เห็นภาพ และจบลงด้วยบทสรุปการต่อสู้ แต่ในเรื่องสั้น มันเป็นแค่การบรรยายปมว่าทำไมต่อสู้ พร้อมบรรยายความคิดในจิตใจของตัวละครก่อนจะเริ่มสู้ พอตัวเอกจับดาบ เรื่องก็จบแค่นั้น

อีกประการที่เราชื่นชอบมากคือ ปกติในนิยาย เราจะรู้ความคิดจิตใจของตัวละครไม่กี่คน ส่วนมากมักเป็นตัวพระเอก แต่ในเรื่องสั้นของฟ้านี้ ได้ขยายขอบเขตตัวละครไปไกลจนเรานับถือ เพราะนอกจากเรื่องสั้นจะมีตอนที่ตัวละครหลักเป็นพระเอกแล้ว ยังมีตอนที่ตัวละครหลักเป็นนางเอก จอมมาร พลทหารกระจอก นางสนมธรรมดา ภรรยาตัวร้าย ฯลฯ

การที่โฟกัสไปที่ตัวละครหลากหลายเหล่านี้ ทำให้เราย้อนกลับมาคิดเลยว่า ทุกตัวละครล้วนมีจิตใจ มีมุมมองเป็นของตัวมันเอง การเขียนในแบบเรื่องสั้นนี้เป็นข้อได้เปรียบที่สามารถกระจายบทไปยังตัวละครหลายประเภทได้ ถ้าเป็นในนิยายคงยาก และเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตจริง ก็ยิ่งชัดเจนว่า คนเราบางทีก็ไม่ได้สวมบทบาทเป็นพระเอกนางเอก บางคนอาจมีบทบาทเล็กๆ ในสังคม มีถึงกระนั้นเขาก็ยังมีความคิดจิตใจ มีอิสระเสรี และมีความสำคัญไม่แพ้คนเด่นดังเลย

สิ่งที่ชอบอีกอย่างในหนังสือเล่มนี้ คือภาพประกอบที่วาดด้วยพู่กันจีนของ ยอดฉัตร บุพศิริ ช่างสวยงามยิ่งนัก

แม้เรื่องสั้นกำลังภายในของฟ้า อาจไม่ใช่คนแรกที่ทำเรื่องสั้นกำลังภายใน (ในจีนคงมีมากมาย แต่เราไม่รู้เอง) แต่อย่างน้อยหนังสือเล่มนี้ก็ช่วยจุดไฟในการอยากอ่านเรื่องแนวกำลังภายในอีกครั้ง ขอคารวะผู้จัดทำ 3 จอกครับ

ป.ล. เรื่องสั้นกำลังภายในของฟ้า มี 2 เล่มคือ "ลมปราณเจ็ดร้อยปี" กับ "จอมดาบทะเลบ้า" เราอ่านเล่มแรกจบแล้ว กำลังหาเล่มหลังมาอ่าน

ข้อดีของการไม่สบาย

ช่วงนี้เราเป็นหวัด ไม่สบาย เข้าใจว่าเกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย (วันนี้ฝนตกอีก ช่างอะเมสซิ่งมาก) อย่างไรก็ตามการไม่สบายนี้ทำให้เราค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่เราหลงลืมไป นั่นก็คือ"ความช้า"


พอไม่สบาย ร่างกายมันก็ไม่กระฉับกระเฉง ทำอะไรก็ชักช้า แต่การที่ทำอะไรช้าลง มันทำให้เราจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้น ที่สังเกตเห็นชัดเจนก็คือ การกินข้าว ปกติเราจะเป็นคนที่กินข้าวเร็วมาก แต่พอป่วยมันก็ต้องกินช้าลง การกินช้าแบบนี้ ทำให้เราสัมผัสถึงรสชาติอาหารได้มากขึ้น ทำให้รู้สึกความอร่อยของวัตถุดิบแต่ละอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นอาหาร (เว่อร์จริง 555) ที่สำคัญคือ การกินช้าทำให้เราอิ่มเร็ว และกินน้อยลง น่าจะเป็นการลดความอ้วนอีกทางนึง ^^

นอกจากการกินข้าวช้า เรายังลองทำอะไรให้ช้าลง ไม่เร่งรีบ เช่น ลองเดินช้าลง  สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมรอบข้างให้มากขึ้น การทำงานที่พอทำแบบไม่เร่งรีบ ร้อนรน มันก็จดจ่อและมีสมาธิมากขึ้น สัมผัสถึงคุณค่าของงานที่เราทำ ไม่ใช่สักแต่รีบทำให้มันเสร็จๆ ไป

บางครั้งในโชคร้ายที่เราป่วย มันก็นำพาสิ่งดีๆ มาสู่ชีวิตเราเหมือนกันนะ

Love Exposure (愛のむきだし)

Love Exposure cover

หลังจากได้ชมหนังตัวอย่างเรื่องนี้มานาน ก็ตั้งเป้าว่าต้องหามาดูให้ได้ แม้จะเป็นซับอังกฤษก็ตาม และในที่สุดก็หามาดูจนได้ Love Exposure เป็นหนังญี่ปุ่นปี 2008 ( ชื่อเดียวกันกับหนังเกาหลีปี 2007 อย่าไปจำสลับเรื่องนะ ) ความยาวของหนังก็หฤโหดทีเดียว ยาวถึง 4 ชั่วโมง (237 นาที) รู้สึกว่าฉบับติดต่อดั้งเดิม จะยาวถึง 6 ชั่วโมง!

แม้เนื้อเรื่องจะยาวมาก แต่ตัวละครกลับไม่เยอะ เนื้อเรื่องคร่าวๆ คือพระเอก YU เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาในครอบครัวคริสเตียน ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับพ่อที่เป็นบาทหลวง จนวันหนึ่งก็มีเหตุที่ทำให้เขาต้องหาเรื่องที่เป็น "บาป" ทำ ซึ่งบาปที่เขาเลือกทำก็คือ "การแอบถ่ายรูปกางเกางในสาว" (พล๊อตเรื่องการ์ตูนมากๆ ) ระหว่างที่เขาแอบถ่ายก็พบผู้หญิง 2 คนที่เป็นตัวหลักของเรื่องเช่นกัน คือ Koike (เราชอบการออกแบบตัวละครตัวนี้) สาวกหลักในลัทธิ "Church Zero" ที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับพระเอกเพราะสนใจในตัวพระเอก และ Yuko ผู้หญิงที่เป็นรักแรกพบของพระเอก หลังจากเจอ 2 สาวนี้ ชีวิตของพระเอกก็ต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

หนังเรื่องนี้น่าจะเรท 18+ เพราะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศและความรุนแรงพอสมควร (แต่ดูแล้วไม่แหวะ เพราะมันทำเวอร์เหมือนดูการ์ตูน) ต้องชมผู้กำกับเลยว่า ทำหนังที่ยาวขนาดนี้แต่ไม่รู้สึกเบื่อ เนื้อเรื่องขับเคลื่อนไปข้างหน้าตลอด ไม่มีอ้อยอิ่ง ประเด็นของเรื่องจะดูเอาสนุกก็ได้ หรือจะเอาสาระก็ได้ มีทั้งเรื่องศาสนา ความเชื่อ ความรัก เซ็กส์ ครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องศาสนา มีการอ้างข้อความในไบเบิลหลายครั้ง (เราดูก็งงๆ เพราะซับอังกฤษ แถมข้อความในไบเบิลก็ใช้ศัพท์ยากอีก แต่ก็ไม่ทำลายอรรถรสการชมมากนัก)

ถ้าใครชอบดูหนังญี่ปุ่นที่ซาบซึ้ง โรแมนติก อบอุ่น ข้ามเรื่องนี้ไปเลย ถ้าใครชอบดูหนังญี่ปุ่นที่ช้าๆ เรียบๆ ก็ควรข้ามไปอีก คนที่ชอบเรื่องนี้น่าจะเป็นพวกที่ชอบดูหนังญี่ปุ่นที่ดูเป็นการ์ตูนเวอร์ๆ ทุนต่ำเกรด B มากกว่า